Popular Posts

Thursday, April 4, 2013

สมุนไพรเเก้ผื่นคันกลากเกลื้อน


สมุนไพรเเก้ผื่นคันกลากเกลื้อน
ขมิ้น (ทั่วไป) ขมิ้นแกง ขมิ้นหยอก ขมิ้นหัว (เชียงใหม่) ขี้มิ้น หมิ้น (ภาคใต้)ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก อายุหลายปี สูง 30-90 ซม. เหง้าใต้ดินรูปไข่มีแขนงรูปทรงกระบอกแตกออกด้านข้าง 2 ด้าน ตรงกันข้ามเนื้อในเหง้าสีเหลืองส้ม มีกลิ่นเฉพาะ ใบ เดี่ยว แทงออกมาเหง้าเรียงเป็นวงซ้อนทับกันรูปใบหอก กว้าง 12-15 ซม. ยาว 30-40 ซม. ดอก ช่อ แทงออกจากเหง้า แทรกขึ้นมาระหว่างก้านใบ รูปทรงกระบอก กลีบดอกสีเหลืองอ่อน ใบประดับสีเขียวอ่อนหรือสีนวล บานครั้งละ 3-4 ดอก ผล รูปกลมมี 3 พู
ส่วนที่ใช้ : เหง้าแก่สด และแห้ง
สรรพคุณ
เป็นยาภายใน- แก้ท้องอืด- แก้ท้องร่วง- แก้โรคกระเพาะ
เป็นยาภายนอก- ทาแก้ผื่นคัน โรคผิวหนัง พุพอง- ยารักษาชันนะตุและหนังศีรษะเป็นเม็ดผื่นคัน
วิธีและปริมาณที่ใช้
เป็นยาภายในเหง้าแก่สดยาวประมาณ 2 นิ้ว เอามาขูดเปลือก ล้างน้ำให้สะอาด ตำให้ละเอียด เติมน้ำ คั้นเอาแต่น้ำ รับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ วันละ 3-4 ครั้ง
เป็นยาภายนอกเหง้าแก่แห้งไม่จำกัดจำนวน ป่นให้เป็นผงละเอียด ใช้ทาตามบริเวณที่เป็นเม็ดผื่นคัน โดยเฉพาะในเด็กนิยมใช้มาก
มะยม
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :  ไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูงประมาณ 3 – 10 เมตร ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านสาขาบริเวณปลายยอด กิ่งก้านจะเปราะและแตกง่าย เปลือกต้นขรุขระสีเทาปนน้ำตาล ใบ เป็นใบรวม มีใบย่อยออกเรียงแบบสลับกันเป็น 2 แถว
แต่ละก้านมีใบย่อย 20 – 30 คู่ ใบรูปขอบขนานกลมหรือค่อนข้างเป็นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนปลายใบแหลม ฐานใบกลมหรือมน ขอบใบเรียบ ดอก ออกเป็นช่อตามกิ่ง ดอกย่อยสีเหลืองอมน้ำตาลเรื่อๆ ผล เมื่ออ่อนสีเขียว เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือขาวแกมเหลือง เนื้อฉ่ำน้ำ เมล็ดรูปร่างกลม แข็ง สีน้ำตาลอ่อน 1 เมล็ด
ส่วนที่ใช้ :  ใบตัวผู้ ผลตัวเมีย รากตัวผู้สรรพคุณ :
ใบตัวผู้  -   แก้พิษคัน แก้พิษไข้หัว เหือด หัด สุกใส ดำแดง ปรุงในยาเขียว และใช้เป็นอาหารได้
ผลตัวเมีย  - ใช้เป็นอาหารรับประทาน
รากตัวผู้  -  แก้ไข้ แก้โรคผิวหนัง แก้ประดง แก้เม็ดผื่นคัน ขับน้ำเหลืองให้แห้ง
วิธีและปริมาณที่ใช้ : ใช้ใบตัวผู้ หรือรากตัวผู้ ต้มน้ำดื่มสารเคมี
ผล  มี tannin, dextrose, levulose, sucrose, vitamin C
ราก  มี beta-amyrin, phyllanthol, tannin saponin, gallic acid

สมุนไพรช่วยลดระดับไขมัน


สมุนไพรช่วยลดระดับไขมัน
 
    เห็ดนับว่าเป็นอาหารมหัศจรรย์เนื่องจากฤดูกาลเกิดที่ไม่เหมือนกับพืชผักชนิดอื่นๆ ถึงเวลางอกงามแต่ละทีก็ผุดขึ้นราวกับกับตั้งนาฬิกาปลุก พอใกล้หมดเวลาก็มุดหายลงดินเก็บตัวเงียบรอเวลาอีกครั้ง คนเก็บจะต้องมีความชำนาญ รู้ลักษณะ รู้ชนิด รู้ต้นตอ รู้แหล่งกำเนิด เพราะเห็ดบางชนิดเห็นหน้าตาสวยงามอาจกลายเป็นเห็ดพิษ ใครไม่รู้จริงเผลอนำไปรับประทานเป็นได้เดือดร้อนกันแน่
 
ความนิยมในการรับประทานเห็ดมีมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยรูปแบบและรสชาติเฉพาะตัวที่แตกต่างจากอาหารประเภทพืชผักและเนื้อสัตว์ รวมทั้งการที่คนหันมานิยมรับประทานมังสวิรัติกันมากขึ้น ทำให้เห็ดถูกนำมาใช้ปรุงอาหารแทนเนื้อสัตว์มากขึ้นตามไปด้วย
 
มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันว่าเห็ดมีคุณสมบัติป้องกันโรคได้ โดยในเห็ดมีสารบางอย่างที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ และช่วยในการต้านมะเร็งหลายๆ ชนิดด้วย เห็ดที่นักวิทยาศาสตร์นิยมนำมาวิเคราะห์เพื่อการวิจัยส่วนใหญ่เป็นเห็ดชนิดที่คนนิยมนำมาปรุงอาหารและหาได้ง่าย เช่น เห็ดหอม เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดเข็มทอง เห็ดหูหนู ซึ่งเป็นเห็ดที่สามารถเพาะเลี้ยงในฟาร์มได้
 
นอกจากเห็ดกินได้ที่เรารู้จักทั่วไปตามท้องตลาดแล้ว ยังมีเห็ดกินได้จากป่าธรรมชาติอีกหลายชนิดซึ่งสามารถพบได้เมื่อ ระยะเริ่มต้นฤดูฝน เช่น เห็ดไข่เหลือง หรือเห็ดระโงกเหลือง เห็ดน้ำหมาก เห็ดหล่ม เห็ดผึ้ง เห็ดโคน เป็นต้น ซึ่งเห็ดป่าที่เป็นอาหารเหล่านี้ยังไม่สามารถเพาะเลี้ยงให้แพร่หลายได้ ยังต้องเก็บหาจากป่าธรรมชาติ ในช่วงฤดูฝน จะเห็นชาวบ้านต่างพากันเข้าป่าเพื่อหาเห็ดเป็นอาหาร และเก็บมาขายเป็นการช่วยเสริมรายได้ให้กับชาวบ้าน ที่อาศัยอยู่ใกล้กับป่า
 
เห็ดป่าบางชนิดนอกจากรับประทานเป็นอาหารเพื่อความอร่อยแล้วยังมีสรรพคุณทางยา เช่น เห็ดเผาะ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า เห็ดถอบ เป็นเห็ดที่มีรสเย็น หวาน โดยมากให้เป็นอาหารบำรุงร่างกาย ช่วยความสึกหรอในร่างกายที่ชำรุดไปให้เป็นปกติ และกระจายโลหิต เป็นธาตุโปรตีนที่ดี อาจเป็นเพราะคุณสมบัติเหล่านี้ เห็ดเผาะจึงเป็นเห็ดที่ได้รับความนิยมมากและมีราคาแพง
 
นอกจากนี้ยังมี เห็ดตับเต่า หรือเห็ดผึ้ง เห็ดตับเต่าขนมปังกะโหลก เป็นเห็ดที่มีกรดอะมิโนที่สำคัญ 8 ชนิด ได้แก่ isoleucien, leucine, lysine เป็นต้น ช่วยบำรุงสุขภาพ บำบัดอาการปวดหลัง ปวดข้อ ปวดเส้นเอ็นและกระดูก ป้องกันการชักกระตุก คนจีนใช้เป็นสมุนไพร แก้เคล็ดคัดยอก ปวดกระดูก เห็ดข่า เป็นเห็ดที่มีรสเผ็ดขม สรรพคุณใช้แก้อาการปวดหลัง ปวดหลัง ปวดขา บำรุงเส้นเอ็น กระดูก และป้องกันการชักกระตุก เห็ดมันปู ประกอบด้วยวิตามินเอ และกรดอมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย หลายชนิด อาทิเช่น isoleucine, leucine เป็นต้น เห็ดหล่มกระเขียว (Russula virescens Fr.)
มีสารที่มีคุณค่าทางอาหาร รวมทั้งธาตุอาหารหลายชนิด เช่น ฟอสฟอรัส แคลเซียม เหล็ก กำมะถัน วิตามิน B1และอื่น ๆ ใช้ในการบำรุงสายตา บำรุงตับลดไข้ บำรุงร่างกาย และบำรุงเลือดลม เห็ดหลินจือ เห็ดชนิดนี้มีกรดอมิโน หลายชนิด steroid, triterpene, alkaloids, glucoside, ไขมัน อิออนของเหล็กและโพแทสเซียม น้ำมันหอมระเหย วิตามินบี 2 และวิตามินซี เป็นยาสมุนไพรรักษาโรค มีการเพาะเลี้ยงพัฒนาสกัดเป็นยาสมุนไพรหลายรูปแบบ ช่วยลดระดับไขมันในเส้นเลือด ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจบางชนิด เม็ดเลือดขาวต่ำ หวัดเรื้อรัง หลอดลมอักเสบ หืดหอบ เป็นต้น

การดื่มไวน์มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร


การดื่มไวน์มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร
จริงๆ ผมเนี่ยไม่เคยดื่มไวน์หรอกครับเพราะเเพงอีกอย่างนึง จะดื่มไวน์เนี่ย ต้องมานั่งซื้อเเก้วมันอีกนะครับ ถ้ายกดื่ม เหมือนดื่ม ช้าง หรือ ลีโอ เนี่ยเค้าจะหาว่า เกียร หรือ ชนกลุ่มน้อยได้นะครับ เวลากินเนี่ย ตอนเท ก็ต้องเทให้ถูกนะครับ  เเละจะดื่มเนี่ย ตอนยกเข้าปาก เนี่ยต้องทำมุมกี่องศา ไม่รู้อะไรของมัน เเต่เท่าที่เคยดื่มมานะครับ ถ้าคุณยกสด เหมือนเบียร์ เนี่ย จะไม่ได้รสชาติไวน์เลยครับ เพราะ การดื่มไวน์เนี่ย ต้องสูดกลิ่น เวลาเข้าปากต้องอมไว้ซักพักนึงก่อนนะครับ เเล้วค่อยกลืน เนี่ยเเหละวิธีกิน จะต่างกับพวกเบียร์นะครับเพราะพวกนี้อมไว้ไม่กลื่นไม่ได้เรื่องเลย เอาหละครับ มาดูสิ่งควรรู้กัน
6 ข้อควรรู้สำหรับนักดื่มไวน์
1) ฉลากไวน์
บนฉลากมักจะมีข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับไวน์ไว้สำหรับผู้ที่ต้องการทราบ เช่น ชื่อของไวน์ ผลิตจากประเทศไหน จำนวนปีที่บ่ม หรือบางครั้งอาจมีชนิดขององุ่นที่ใช้ในการทำไวน์ด้วย นอกจากนั้นก็จะมีระดับคุณภาพตามที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2) การเสิร์ฟไวน์
ไวน์ขาวและแชมเปญจะเสริ์ฟขณะเย็นๆเล็กน้อย ส่วนไวน์แดงจะเสริ์ฟที่อุณหภูมิห้อง การเปิดขวดไวน์แดงนั้นจะมีเทคนิคนิดหน่อยเพื่อให้ไวน์ได้”หายใจ” รินลงในแก้วที่มั่นใจว่าสะอาด ไม่มีสิ่งสกปรกหรือน้ำยาล้างจานตกค้าง ประมาณ 1/3 ของแก้ว ก่อนดื่มอาจจะสูดกลิ่นของไวน์ก่อนก็ได้
3) จับคู่ไวน์กับอาหาร
สำหรับไวน์ที่มีรสชาติลุ่มลึกเป็นพิเศษนัน้จะมีทริคนิดหน่อยในการจับคู่กับอาหารเพื่อให้ได้รสชาติที่สมดุลกัน เช่น การไม่เสิร์ฟไวน์แดงซึ่งมีรสชาติเข้มข้นกับอาหารทะเลรสชาติอ่อน หรืออาหารเนื้อรสจัดกับไวน์ขาวรสอ่อน ปัจจัยอื่นๆที่ใช้พิจารณาก็เช่น ความเป็นกรด ความหวาน ความเผ็ด โดยทั่วไป อาหารของประเทศไหนก็ควรจะเสริ์ฟกับไวน์จากประเทศนั้น เช่นเสิร์ฟไวน์ฝรั่งเศสคู่กับอาหารฝรั่งเศส เสิร์ฟไวน์สเปนคู่กับอาหารสเปน
สำหรับอาหารรสเผ็ดอย่างแกงไทยหรือแกงอินเดียนั้น เข้าคู่ได้ดีที่สุดกับไวน์ขาวที่มีรสเข้มข้นอย่าง New World Chardonneys หรือ เซมิลญอง ส่วนอาหารจีนและอาหารไทยทั่วไปนั้นเข้ากันได้ดีกับไวน์ขาวที่อ่อนกว่า อาหารย่างของอังกฤษเหมาะกับไวน์แดงอ่อนๆ นอกนั้น ไวน์แดงก็ใช้ดื่มคู่กับอาหารประเภทปลาได้ด้วย ไม่จำเป็นต้องเป็นไวน์ขวอย่างเดียว
4) ไวน์ที่เหลือ
ไวน์ขาวเก็บไว้ได้สองวัน ไวน์แดงสามวัน โดยต้องปิดขวดใหม่แล้วเก็บในที่เย็นและมืด ถ้าหลังจากนั้นแล้วไม่ควรดื่ม ใช้แค่ในการประกอบอาหารเท่านั้น สำหรับแชมเปญหรือไวน์ซ่านั้นเก็บความซ่าไว้ได้โดยฝาแบบพิเศษและเก็บในตู้เย็น นอกจากนั้นยังมีไวน์บางชนิดที่เก็บได้หลายสัปดาห์หลังจากเปิดแล้เพราะมีการผสมเหล้าสปิริตลงไปด้วย
5) ดื่มเมื่อ…
ไวน์ส่วนมากจะขายอยู่ในสภาพพร้อมดื่มอยู่แล้ว ไวน์แดง ไวน์ขาว ไวน์โรเซ่ แชมเปญ ไวน์ซ่าควรดื่มภายใน 6 เดือนหลังจากซื้อมา แต่ก็มีไวน์บางชนิดที่สามารถเก็บได้เป็นปีๆเพื่อบ่มต่อหรือทำให้รสชาติดีขึ้น
6) การเก็บไวน์
ไวน์ที่ซื้อมาเพื่อดื่มภายใน 24 ชั่วโมง ปกติแล้วจะเก็บให้พ้นจากแสงแดดและความร้อน หรือเก็บในที่เย็น (แต่ไม่ใช่เย็นเฉียบ) และพ้นจากสิ่งที่มีกลิ่นฉุน (เช่นน้ำมัน) และวางขวดในแนวนอนเพื่อป้องกันจุกคอร์กแห้ง ซึ่งจะทำให้อากาศเข้าไปในขวดได้ ข้อมูลจาก บล๊อก Routine Life
ประเภทของเหล้าไวน์
ถ้าจะให้จำแนกประเภทของเหล้าไวน์ออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ เราก็สามารถแยกแยะเหล้าไวน์ใน โลกนี้ ออกเป็น 3 จำพวกด้วยกันคือ พวกเทเบิ้วไวน์ (Table Wines) พวกสปาร์กลิ้งไวน์ (Sparking Wines) และพวก ฟอร์ติไฟด์ไวน์ (Fortified Wines)
ซึ่งแต่ละพวกก็ยังสามารถไล่เรียงลูกหลายย่อย ๆ ออกไปอีกหลาย ๆ ตระกูล
พวกเทเบิ้ลไวน์ (Table Wines) เป็นไวน์ยอดนิยม ซึ่งไวน์ในท้องตลาดส่วนใหญ่ก็เป็นไวน์จาก ตระกูลนี้ทั้งสิ้นเป็นไวน์ที่เหมาะสมสำหรับดื่มคู่กับอาหาร มีแอลกอฮอล์ในน้ำสุราระหว่าง 7 – 15 ดีกรีระบบยุโรป นอกจากนั้นไวน์ขาวและไวน์แดงของเทเบิ้ลไวน์ก็ยังแตกสาขาออกไปอีก อย่างไวน์ขาว ก็มีทั้งประเภทหวาน และ ประเภทไม่หวาน สำหรับไวน์ขาว ประเภทไม่หวานชนิดที่มีชื่อเสียงโด่งดังได้แก่ จำพวก Chablis ไวน์ Muscadet Riesling สำหรับไวน์ขาวนี้อาหาร ที่เหมาะสำหรับดื่มคู่ กับ ไวน์ขาว ได้แก่ เนื้อสัตว์ประเภทต่าง ๆ ที่ออกทางสีขาว เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา เนื้อปู สำหรับไวน์แดง ไวน์แดงจากแค้วนบอร์โดซ์ของฝรั่งเศสถึอว่าเป็นไวน์ที่เยี่ยมที่สุดของโลก และไวน์แดงทุกชนิด จะไม่ออกรสหวานเลย อาหารที่คู่กับไวน์แดงได้แก่ เนื้อสัตว์ที่ออกทางสีแดง เช่น เนื้อวัว เนื้อเก้ง เนื้อแกะ ฯลฯ
พวกสปาร์กลิ้งไวน์ (Sparkling Wines) ไวน์ประเภทนี้ได้แก่ ไวน์ประเภทที่มีฟองนั่นเองหรือเป็น ไวน์จำพวกที่มีดีกรีปานกลางคือมีแรงแอลกอฮอล์ระหว่าง 15 – 18 ดีกรี ระบบยุโรป ส่วนใหญ่จะเป็นไวน์ขาวและส่วนน้อยจะเป็นไวน์แดง หรือ ไวน์สีชมพู รสของไวน์ประเภทนี้มีหลากหลาย ตั้งแต่ไม่หวานเลยระเรื่อยไปจนหวานนิดหน่อย หวานมาก และหวานมาก เป็นไวน์ที่ไม่เหมาะสำหรับดื่มคู่กับอาหารแต่เป็นการดื่มฉาบฉวยในบางโอกาส โดยเฉพาะในโอกาสฉลองชัย ไวน์ประเภทนี้ ปกติชนทั่วไปไม่นิยมเรียกว่าไวน์แต่จะมีชื่อเสียงเรียงนามจำเพาะเจาะจงของมันเรียกเป็นเอกเทศ เช่น เหล้าแชมเปญ เหล้าชาร์มัง เหล้าคาร์บอเนต เหล้าสปาร์กลิ้งเบอร์กันดี
พวกฟอร์ตืไฟด์ไวน์ (Fortified Wines) เป็นเหล้าไวน์ประเภทที่มีดีกรีสูงที่สุดคือมีแรง แอลกอฮอล์ ระหว่าง 18 – 22 ดีกรี ระบบุโรปและเป็นไวน์นักดื่มทั่วไปไม่นิยมเรียกว่าเหล้าไวน์ แต่จะมีชื่อจำเพาะเจาะจงของมันเองเช่นเดียวกับสปาร์กลิ้งไวน์แถมเหล้าไวน์นี้แผกเพี้ยน ไปกว่าเหล้าไวน์ตระกูลอื่น ๆ คือน้ำเหล้าแทนที่จะเป็นไวน์ล้วน ๆ แต่เป็นการนำไวน์มาผสมกับบรั่นดี โดยมีบรั่นดี เจือผสมอยู่ใน ฟอร์ติไฟด์ไวน์ 15 % ไวน์ในตระกูลนี้บางตัวก็เป็นไวน์พิสดารอย่างเช่น เหล้า เชอรี่ ของ สเปญประเภทฟีโนเมื่อรินน้ำเหล้าใส่แก้วก็จะมีดอกไม้ เบ่งบานในน้ำเหล้าให้ผู้ดื่มได้ หวือหวาอีกด้วย
อุณหภูมิในการเสริฟ์ไวน์
ควรปรับให้ไวน์เข้าสู่อุณหภูมิที่เหมาะสม สำหรับเสริฟอย่างช้า ๆ สำหรับไวน์ขาวรส ไม่ หวาน (Dry White Wine) และ ไวน์โรเซ่ (Rose Wine) ควรเสริฟ์ในขณะที่มี อุณหภูมิระหว่าง 8 – 12 องศา C แต่อย่าให้เย็นจัดจนเริ่มจับเป็นเกล็ด หรือแข็งจน เป็นน้ำแข็ง ไวน์ที่ค่อนข้าง หวาน หรือไวน์ ขาวหวาน,แชมเปญหรือไวน์ฟอง (Sparkling Wine) อาจ เสริฟ ในอุณหภูมิ ที่ต่ำกว่า ไวน์ขาว หรือไวน์รสไม่หวาน ได้ คือ ประมาณ 6 – 8 องศา C ไวน์แดงอ่อน รสนุ่ม จะต้องเสริฟ ณ อุณหภูมิ ของห้องเก็บไวน์มาตรฐาน (Cellar)ประมาณ 10 – 12 องศา C ไวน์แดงที่เข้มข้น ควรเสิรฟ์ใน อุณหภูมิ “Chambre” คือให้ไวน์ มีอุณหภูมิเท่าอุณหภูมิในห้องที่อบอุ่นปานกลาง เช่น ไวน์บอร์โด เสิร์ฟที่ อุณหภูมิ 18 -19 องศา C ส่วน ไวน์เบอร์ กันดี เสิร์ฟที่อุณหภูมิ 15 – 16 องศา C
สิ่งที่พึงหลีกเลี่ยง
การกระทำที่ควรหลีกเลี่ยงในการเสิรฟ์ไวน์ขาว
- เสิร์ฟเย็นจัดจนเกินไป หรือกลายเป็นน้ำแข็ง
- แช่เย็นไว้ในตู้เย็นนานกว่า 2 ชั่วโมง
- แช่ไวน์ไว้ในช่องทำน้ำแข็ง
- ใส่น้ำแข็งในไวน์
การกระทำที่ควรหลีกเลี่ยงในการเสิร์ฟไวน์แดง
- อุ่นให้ร้อนจนเกินไป การทำให้ไวน์เข้าสู่อุณหภูมิ “Chambre” ไม่ได้หมายความว่า อุ่นด้วยความร้อน
- ใส่ขวดไวน์ไว้ในหม้อน้ำร้อน
สำหรับไวน์ทุกชนิด
- ต้องปรับอุณหภูมิของไวน์อย่างช้า ๆ ให้เข้าสู่อุณหภูมิที่เหมาะสมกับการดื่ม ไม่ควรใช้วิธีลดหรือเพิ่มอุณหภูมิที่เร็วเกินไป
อุณหภูมิที่ไวน์จะมีรสดีที่สุด กฎทั่วไป
ไวน์ใหม่ควรจะเสิร์ฟให้มีความเย็นมากกว่าไวน์ที่เก็บหลายปี
อย่าลืมว่า ขณะที่รับประทานอาหาร อุณหภูมิของไวน์ในแก้วจะเพิ่มขึ้น
ไวน์ที่เสิร์ฟในอุณหภูมิระหว่าง 6 องศา C และ 8 องศา C ในห้องที่มีอุณหภูมิ 18 องศา C จะมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเป็น 10 องศา C ถึง 12 องศา C ได้ในเวลาประมาณ 10 นาที
แก้วดีที่เหมาะกับไวน์ดี ลักษณะที่จำเป็นของแก้วไวน์ที่ดี มีดังนี้คือ
แก้วไวน์จะต้องมีขนาดใหญ่พอ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรินไวน์จนเต็มแก้ว
ควรเป็นแก้วทรงกลม ปากแก้วแคบเล็กน้อย เพื่อให้กลิ่นไวน์อบอวลอยู่ในแก้ว และหอมเตะจมูกของผู้ดื่มได้
ควรมีก้านแก้วยาว เพื่อไม่ให้อุณหภูมิของแก้วไวน์ในแก้วเพิ่มขึ้นเร็วเกินไปในขณะที่ดื่ม
สิ่งสำคัญที่พึงนึกถึง
แก้วที่ดีจะต้องทำขึ้นเพื่อให้เหมาะกับการดื่มและการดมกลิ่นหอมของไวน์ ไม่ใช่เพียง เพื่อมองดูสวยงามเท่านั้น
ควรหลีกเลี่ยงแก้วที่หนาหรือแก้วที่มีสีสัน
ตัวแก้วควรจะทำมมาจากเแก้วเนื้อดี มีรูปร่างเรียวบางที่สุดที่จะทำได้ และควรจะใสสะอาดด้วยแค่เพียงแสงไฟก็เพียง พอแล้วที่จะทำให้เราสามารถชื่นชมกับสีสัน ประกายแวววาว และความใสของไวน์นั้นได้
ความสะอาดของแก้วไวน์ แก้วไวน์จะต้องสะอาดปราศจากรอยเปรอะเปื้อน
ระวังรอยลิปสติกที่อาจหลงเหลืออยู่
ล้างแก้วในน้ำอุ่น ๆ ไม่ต้องใช้น้ำยาล้าง
ใช้ผ้าแห้งที่สะอาดเช็ดแก้ว
ระวังอย่าให้ฝุ่นจับอยู่บนชั้นวางแก้ว
วิธีเปิดขวดไวน์
เมื่อคุณได้เลือกหยิบไวน์มาจากหิ้งเก็บไวน์เพื่อเสิร์ฟให้แขกผู้มีเกียรติของคุณนั้นควรคำนึงว่าคุณได้เก็บ ไวน์ นี้ไว้อย่างดี โดยไม่ได้ถูกแสงสว่าง และอยู่ในอุณหภูมิที่สม่ำเสมอที่ 10 – 20 องศา C
*ควรสังเกต ถ้าเป็นไวน์แดงคุณภาพสูง ที่ผ่านการบ่มในขวดหลายปี ถ้าไม่มีตะกอนอยู่ที่ก้นขวดก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้ตะกร้า เสิร์ฟแต่ในกรณีที่เป็นไวน์ที่ผ่านการบ่มมานาน ก็อาจมีตะกอน จากกรดของเปลือกองุ่นอยู่ก้นขวดคุณจะต้องใช้ความระมัด ระวังในการเสิร์ฟไวน์ขวดนี้เป็นพิเศษโดยใช้ตะกร้าเสิร์ฟ และวางขวดให้อยู่ในแนวนอนตามสภาพที่มันอยู่บนหิ้งเก็บไวน์และระวังอย่า เขย่าขวดเพื่อไม่ให้ตะกอนเจือปนกับไวน์รสกลมกล่อมขวดนี้ได้
วิธีเปิดฝาขวด (ควรทำอย่างเบามือ)
ใช้มีดกรีดส่วนที่เป็นโลหะหรือพลาสติกที่หุ้มรอบคอขวดออก ให้ต่ำจากฝาขวด 1 ซม. เพื่อไม่ให้ไวน์ สัมผัสวัสดุใด ๆ รอบคอ ขวดในขณะริน และเช็ดด้วยผ้าสะอาด
วิธีเปิดจุกคอร์ก
การจะเปิดจุกคอร์กได้ดี ควรจะมีที่เปิดจุกคอร์กแบบเกลียวเพื่อความสะดวกในการเปิด
เมื่อดึงจุกคอร์กออกมาแล้ว ให้ดมกลิ่นจากจุกคอร์กนี้อย่างระมัดระวัง ถ้ามีกลิ่นบูดอยู่ในจุกคอร์กจะต้องเก็บไวน์ขวดนี้ และ เสิร์ฟไวน์ขวดใหม่ทันที
เช็ดรอบคอขวดอีกครั้ง โดยเช็ดรอบขอบด้านในของขวดด้วย
รินไวน์ลงในแก้วเล็กน้อยเพื่อชิมรสชาติ
วิธีเปิดขวดแชมเปญหรือไวน์ฟอง
จับขวดด้วยมือหนึ่ง และใช้มืออีกช้างหนึ่งปลดลวดที่รัดจุกคอร์กอยู่
เอียงขวดเล็กน้อยให้เป็นมุมเฉียง จับจุกคอร์กให้แน่นขณะที่หมุนขวดไปด้วย จุกคอร์กจะขยับออกอย่างง่าย ๆ ต่อจากนั้นก็ค่อย ๆ ดึงจุกคอร์ก ออกทีละน้อย เพื่อให้แก๊สภายในขวด ดันออกมาอย่างเงียบ ๆ ช้า ๆ โดยไม่ทำให้ฟองล้นออกมา
เช็ดรอบคอขวดด้วยผ้าสะอาด เทแชมเปญเพียงเล็กน้อยลงในแก้วแต่ละใบ แล้วจึงเติมลงในแก้วแต่ละใบอีกครั้งให้เป็น 2/3 ของแก้ว
อย่าบดบังฉลากบนขวด เพราะฉลากที่ออกแบบมาอย่างสวยงามเหล่านี้จะเป็นเสน่ห์ส่วนหนึ่งที่ดึงดูดใจผู้ดื่ม
ไม่ควรใช้ที่เขย่าผมสเหล้าเพื่อเพิ่มฟองอย่างเด็ดขาด เพราะจะเป็นการทำลายฟองและกลิ่มหอมของไวน์ชนิดนี้ให้หมดไปและ ยังเป็นการดูหมิ่นความพยายามของทั้งผู้ผลิตและ ผู้เก็บรักษาอีกด้วย
การรินไวน์อย่างถูกวิธี
ไม่มีอะไรจะง่ายดายเท่าการรินไวน์ อย่างไรก็ตาม คุณควรทำตามนำแนะนำเหล่านี้อย่างตั้งใจด้วย
- อย่าให้ขวดอยู่สูงจากแก้ว ควรให้คอขวดอยู่ใกล้กับปากแก้ว เพื่อที่ไวน์จะได้ไหลลงแก้วอย่างเบา ๆ ละไวน์ไม่กระเพื่อม
- อย่าให้คอขวดไวน์อิงติดกับปากแก้วขณะริน
- ระวังให้ไวน์หยดสุดท้ายที่คุณรินนั้นหยดลงในแก้วไวน์ ไม่ใช่หยดลงบนผ้าปูโต๊ะทำได้โดยหมุนขวดเล็กน้อยในขณะที่ยกคอขวดขึ้นจากนั้นเช็ดคอขวดทันทีด้วย ผ้าสะอาด ก่อนที่จะเสิร์ฟไวน์ ให้แขกคนต่อไป(เสิร์ฟจากซ้ายไปขวา และสุภาพสตรีก่อนสุภาพบุรุษ)
- ถ้าคุณใช้ผ้ารองถือขวด เมื่อหยิบขวดไวน์ออกจากถังแช่ จะต้องระวังไม่ให้ผ้าปิดบัง ฉลากบนขวดไวน์ซึ่งเปรียบเสมือนประกาศนียบัตรรับรองไวน์ขวดนั้นเลยทีเดียว
- อย่ารินไวน์จนปริ่มถึงขอบแก้ว
-อย่าปล่อยให้แก้วว่างเปล่า โดยไม่ได้เติมไวน์ รวมทั้งอย่ารินไวน์ให้มากเกินไป
ไวน์ และอาหาร ความสมดุลแห่งรสชาติ
แม้เราจะทำตามกฎที่ผู้เชี่ยวชาญได้ปฎิบัติสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องหันหลังให้กับการแสวงหาความผสมกลมกลืนของรสชาติที่แปลกใหม่ หรือแตกต่างกันออกไปหลักสำคัญก็คือ จะต้องจัดอาหารและไวน์ ให้ส่งเสริมรสชาติของกันและกันโดยไม่ไปกลบหรือทำลายเอกลักษร์ของรสชาติ ที่มีอยู่เฉพาะตัวความผสมกลมกลืนของรสชาตินี้ ก็เหมือนกับความผสมกลมกลืนของสีสัน หรือดนตรี
คุณควรจะต้องเสิร์ฟไวน์หลายชนิดในอาหารต่อมื้อ จุดประสงค์ก็เพื่อที่จะสร้าง “ลำดับ” จากความอ่อนนุ่มที่สุด ไปสู่รสชาติเต็มขั้น โดยเสริฟ
ไวน์รสไม่หวาน ก่อน ไวน์หวาน
ไวน์ขาว ก่อน ไวน์แดง
ไวน์แดง ก่อน ไวน์ที่มีรสหวาน
และไวน์ใหม่ ก่อน ไวน์ที่เก็บบ่มไว้หลายปี
และมีแต่น้ำเท่านั้น ไม่ใช่ไวน์ ที่เหมาะจะดื่มร่วมกับอาหารที่ปรุงรสด้วยน้ำส้มสายชู สลัด พุดดิ้งส้ม หรือพุดดิ้งช็อกโกแลต เพราะอาหารเหล่านี้มีส่วนประกอบที่เป็นศัตรูกับไวน์ ทำให้ไวน์ไม่มีรสชาติ หรือมีรสชาติเปลี่ยนไป
ขอบคุณข้อมูลจาก
 http://angelprunella.multiply.com/
ลองอ่านดูเเล้วกันครับ เเต่ผมว่านะครับ ถ้าดื่มเพื่อสุขภาพเนี่ยเห็นด้วยครับ เเต่ดื่มเพื่อความบันเทิงเนี่ยไม่เห็นด้วยครับ เพราะ เปลืองเงิน

สมุนไพรสรรพคุณรักษาอาการท้องร่วง


สมุนไพรสรรพคุณรักษาอาการท้องร่วง
 
   ตำรายาพื้นบ้านของคนไทยภาคใต้ มักบันทึกลงในสมุดข่อยที่เรียกว่า “บุด” ผู้ที่สนใจศึกษาตำรายาแผนโบราณจำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับคำเฉพาะที่ใช้ในตำรายา เนื่องจากว่าสมุนไพรมีหลายร้อยชนิด และมียาหลายร้อยชนิดที่คนโบราณคิดค้นแล้วเขียนออกมาเป็นตำราให้คนรุ่นหลังศึกษาและนำไปใช้ประโยชน์ สมุนไพรแต่ละชนิดมีรสและสรรพคุณแตกต่างกันไป
 
        เมื่อนำมาปรุงหรือผสมเป็นยาขนานใดขนานหนึ่ง ก็มักประกอบด้วยตัวยาหลากรส เพื่อให้สรรพคุณเสริมกันทำให้เกิดผลในทางบำบัดได้เร็ว เชื่อกันว่าเลือดและน้ำดีเป็นส่วนสำคัญต่อสมุฏฐานของโรคนานาชนิด ยากลางบ้านทุกชนิดจึงต้องมีรสขมเจือไว้ และมักมีตัวยาที่มีรสเบื่อเมาปนอยู่ด้วยเพื่อให้ถอนพิษ ต้องการให้มีสรรพคุณเด่นในทางใด ก็ให้มีส่วนผสมเด่นในทางนั้น รสของยากลางบ้านมักขื่นไม่น่ารับประทาน รสต่างกันสรรพคุณก็จะต่างกันด้วย คนโบราณได้แบ่งรสยาออกเป็น 3 รสกว้าง ๆ คือ
 
1. ยารสร้อน
ใช้เป็นยาประเภทขับลม แก้จุกเสียด แน่นท้อง เช่น จำพวก ขิง ข่า พริกไทย ดีปลี เบญจกูล คนที สอทะเล กระเพราแดง กระวาน เป็นต้น เป็นรสยาประจำฤดูฝน
2. ยารสเย็น
ใช้เป็นยาประเภทลดไข้ เช่น เกสรดอกไม้ต่าง ๆ ใบไม้ รากรากมะเฟือง ตำลึง สารภี รางจืด ใบพิมเสน รากลำเจียก เมล็ดฝักข้าว ไม้ เขี้ยว งา เขา นอ เป็นต้น เป็นรสยาประจำฤดูร้อน
3. ยารสสุขุม
ใช้เป็นยาแก้ลมหน้ามืด ใจสั่น เช่น โกฐต่าง ๆ เทียน กฤษณา อบเชย จันทน์เทศ ชะลูด เป็นต้น เป็นรสยาประจำฤดูหนาว
นอกจากนี้ยังมีรสย่อย ๆ อีก 10 รส คือ
1. รสฝาด มักมีสาร TANIN เป็นองค์ประกอบ มีสรรพคุณทางสมานแผล แก้ท้องร่วง แก้บิด บำรุงธาตุ เช่น เปลือกมังคุด ลูกหว้า ผลมะตูมอ่อน ใบฝรั่ง ใบชา ฯลฯ
2. รสหวาน มีสรรพคุณทำให้ชุ่มชื่น บำรุงกำลัง แก้อ่อนเพลีย เช่น แก่นขนุน รากชะเอม น้ำอ้อยสด เหง้าสับปะรด ดอกคำฝอย ฯลฯ
3. รสเมาเบื่อ มีสารพวก GLYCOSIDES และ ALKALOIDS รับประทานเข้าไปมักเกิดอาการมึนงง กดประสาท มีสรรพคุณใช้แก้พิษ แมลงสัตว์กัดต่อย เช่น ใบกระท่อม ฝิ่น กัญชา ดอกลำโพง เปลือกข่อย รากทับทิม รากมะเกลือ ฯลฯ
4. รสขม มีสารพวก ALKALOIDS เป็นองค์ประกอบ มีสรรพคุณสำหรับบำรุงโลหิตและดี แต่ถ้าใช้มาก จะแสลงโรคหัวใจพิการ เช่น ดอกขี้เหล็ก มะระ ผักโขม รากปะทัดจีน ผลสะเดา เถาบอระเพ็ด โกฐสอ ฯลฯ
5. รสเผ็ดร้อน มีสารพวก RESIN, OLLEORESIN, GLYCOSIDES และมีสารประกอบ PHENOLS บางชนิด เป็นองค์ประกอบ สรรพคุณแก้จุกเสียด แน่นเฟ้อ บำรุงธาตุ บรรเทาอาการช้ำบวม เคล็ดขัดยอก แสลงกับโรคพิษร้อน เช่น พริก ขิง ข่า ไพล เม็ดเทียนขาว เจตมูลเพลิง ช้าพลู พิลังกาสา มะขาม กานพลู ฯลฯ
6. รสมัน มีสารพวกไขมัน น้ำมัน เป็นองค์ประกอบ สรรพคุณแก้เส้นเอ็นพิการ บำรุงไขข้อ บำรุงเส้นเอ็น เพิ่มพลังงานให้ร่างกาย แสลงกับโรคดีซ่าน ไอเสมหะ เช่น งาดำ เมล็ดมะขาม เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ ถั่วต่าง ๆ ฯลฯ
7. รสหอมเย็น มีสารน้ำมันหอมระเหยเป็นองค์ประกอบสำคัญ สรรพคุณบำรุงหัวใจ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ อ่อนเพลียบำรุงครรภ์ แสลงกับโรคในลำไส้ เช่น เตยหอม เบญจมาศ ดอกมะลิ พิกุล บุนนาค ดอกขจร รากมะกรูด ผักกะเฉด ฯลฯ
8. รสเค็ม มีสารพวกเกลือเป็นองค์ประกอบ สรรพคุณรักษาโรคผิวหนังเปื่อย เน่า น้ำเหลืองเสีย บำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหาร แสลงโรคกระเพาะอาหารพิการ เช่น เปลือกต้นมะเกลือ รากไผ่ ใบโคกกระสุน ใบเหงือกปลาหมอ ใบหอม ใบกระชาย ฯลฯ
9. รสเปรี้ยว มีสารพวกกรดหลายชนิดเป็นองค์ประกอบ สรรพคุณแก้เสมหะ ฟอกโลหิต แก้ไอ กระหายน้ำ บำรุงผิว แสลงกับโรคท้องร่วง เช่น กระเจี๊ยบ รากพิลังกาสา ส้ม มะนาว มะปราง มะกอก มะอึก ส้มเสี้ยว ส้มเช้า ฯลฯ
10. รสจืด มีธาตุประเภทต่าง ๆ ได้แก่เกลือโปแตสเซี่ยมเป็นองค์ประกอบ สรรพคุณขับปัสสาวะ แก้ไข้ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ถอนพิษปวดแสบปวดร้อน เช่น ใบตำลึง ใบผักบุ้ง รักขาวเถารางจืด รากตะไคร้ น้ำ ละหุ่ง ฯลฯ
เนื่องจากยามีมากมายหลายร้อยชนิด ผู้ศึกษาตำรายาต่าง ๆ อาจจำกันไม่ได้หมด คนโบราณจึงหาวิธีการที่จะให้จำตัวยาได้ง่ายขึ้นและเร็วขึ้นโดยการเรียกหรือจัดพวกของสมุนไพรเพื่อที่จะนำไปใช้เป็นยาเอาไว้ เพื่อให้จดจำง่ายสะดวกแก่การเขียนตำรายา ในตำราแพทย์แผนไทยเรียกว่า “คณาเภสัช” หรือ “พิกัดยา” ไว้ โดยแบ่งเป็น 3 จำพวกดังนี้
1. จุลพิกัด หมายถึง การกำหนดเอาตัวยาที่มีชื่อเหมือนกัน 2 อย่างมารวมกันในขนาดที่เท่ากัน แต่มีส่วนที่ต่างกัน คือ
1.1 ต่างกันที่เกิด เช่น ชะเอมทั้งสอง คือ ชะเอมไทย – ชะเอมเทศ
1.2 ต่างสี เช่น คนทีทั้งสอง คือ คนทีสอขาว – คนทีสอดำ
1.3 ต่างขนาด เช่น เร่วทั้งสอง คือ เร่วน้อย – เร่วใหญ่
1.4 ต่างชนิด เช่น ตำแยทั้งสอง คือ ตำแยตัวผู้ – ตำแยตัวเมีย
1.5 ต่างรส เช่น มะปรางทั้งสอง คือ มะปรางเปรี้ยว – มะปรางหวาน
2. พิกัดยา หมายถึงการกำหนดตัวยาที่มีชื่อไม่เหมือนกันหลายชนิดมารวมกัน ในขนาดที่เท่ากัน อาจเป็นตัวยา 2 – 9 ชนิด ตัวอย่างเช่น
3 ชนิด เรียก “พิกัดตรี” เช่น พิกัดตรีผลา (ผลไม้ 3 อย่าง) คือ ลูกสมอไทย ลูกสมอพิเภก ลูกมะขามป้อม
5 ชนิด เช่น พิกัดจันทน์ทั้ง ๕ ได้แก่ แก่นจันทน์แดง แก่นจันทน์ขาว แก่นจันทน์ชะมด แก่นจันทน์จันทนา แก่นจันทน์เทศ
9 ชนิด เช่น พิกัดเนาวหอย (หอยทั้ง ๙) ใช้เปลือกหอย 9 ชนิดเผา ได้แก่ หอยขม หอยแครง หอยตาบัว หอยพิมพาการัง หอยนางรม หอยกาบ หอยจุ๊บแจง หอยมุก หอยสังข์ ฯ ล ฯ
3. มหาพิกัด มีความหมายทำนองเดียวกับพิกัดยา แต่ขนาดไม่เท่ากัน
ลักษณะของคณาเภสัชเป็นประโยชน์ในการช่วยจำ สะดวกแก่การปรุงยา และลดการเขียนในตำรายา แต่ละพิกัดจะต้องมีสรรพคุณคล้ายกัน โดยพิจารณาที่รส ว่าจะต้องไม่ขัดกัน สรรพคุณของแต่ละพิกัดนั้นคือสรรพคุณรวมของตัวยาแต่ละอย่างในพิกัดทั้งสิ้น ส่วน “มหาพิกัด” คือการนำตัวยาหลายตัวมารวมกันในพวกเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่าจะรักษาโรคใดเด่น ก็จะใช้ตัวยาเพื่อการรักษานั้นให้มีสัดส่วนมากกว่าตัวยาอื่น
ตัวอย่างสรรพคุณยาในพิกัดเฉพาะอย่าง
พิกัดตรีผลา ลูกสมอไทย รสขม แก้โลหิต น้ำดี ระบายธาตุ ลูกสมอพิเภกแก่ รสฝาด แก้กองธาตุ แก้ไข้ แก้โรคตา ลูกมะขามป้อม รสฝาดเปรี้ยว แก้เสมหะ ลมแก้ไข้
สรรพคุณรวมคือ แก้โรคเกิดจากดีเสมหะ ลมในกองธาตุฤดู และอายุสมุฏฐาน
พิกัดเบญจกูล รากเจตมูลเพลิง รสร้อน กระจายกองลมและโลหิต รากสะค้าน รสร้อน แก้ลมอันเกิดแต่กองวาโยธาตุพิการ รากช้าพลู รสร้อน แก้คูถเสมหะ แก้ลม แก้เมื่อย เหง้าขิงแห้ง รสหวานเผ็ด แก้ไข้ แก้ลมพานลำไส้ พรรดึก ดอกดีปลี รสเผ็ดชวนขม แก้ลม ปัถวีธาตุพิการ

สมุนไพรสรรพคุณช่วยเลิกบุหรี่


สมุนไพรสรรพคุณช่วยเลิกบุหรี่
ที่มา : ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) มหาวิทยาลัยมหิดล
เป็นวัชพืชชนิดหนึ่งที่ขึ้นตามกอหญ้าทั่วทุกภูมิภาค มีลำต้นสูงประมาณ 1-5 ฟุต  ลำต้นเป็นเหลี่ยม มีขนนุ่ม ใบมีลักษณะรูปไข่รี ปลายแหลม มีดอกเล็กกลมเป็นพู่เป็นช่ออยู่ปลายยอดมีสีม่วงหรือชมพู ช่วงปลายจะเปลี่ยนเป็นสีขาวพู่แตกบาน สามารถปลิวไปตามลม แล้วเจริญต่ออีก มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป อาทิ เสือสามขา หญ้าหมอน้อย หญ้าสามวัน หญ้าละออง หรือ ต้นม่านพระอินทร์  มีชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Vernonia cinerea Less.
ในสมัยโบราณชาวบ้าน นำมาใช้ประโยชน์ในการดูแลสุขภาพ เช่น นำลำต้นมาต้ม เอาน้ำกินเป็นยาแก้ไข้ ปวดท้องเฟ้อท้องอืด ผลการบวมของแผลที่อักเสบ หรือนำใบมาตำให้ละเอียดมาพอกแผล เพื่อช่วยสมานแผล วนเมล็ดที่ดอกยังสามารถตำมาป่นให้ละเอียดใช้ชงกับน้ำร้อน ช่วยขับพยาธิ แก้ปัสสาวะขัด รวมไปถึงช่วยรักษาไอเรื้อรังได้
  การนำสมุนไพรหญ้าดอกขาวเพื่อเลิกบุหรี่ เป็นองค์ความรู้ที่ได้ถูกถ่ายทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ แต่มีคนนำมาใช้น้อยมาก เนื่องจากขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์หรืองานวิจัยในมนุษย์  จนเริ่มมีข้อมูลงานวิจัยในสมุนไพรหญ้าดอกขาวในห้องปฏิบัติการ ว่าสามารถช่วยต้านการอักเสบ  ลดปวด และลดไข้ นอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัดหญ้าดอกขาวมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ยับยั้งการอักเสบ
(anti-inflammation) ลดปริมาณไขมันที่ถูกออกซิไดส์ (anti-lipid peroxidation) ในหนูทดลอง ประโยชน์ในการนำมาใช้ในการเลิกบุหรี่ (smoking cassation) ในประเทศไทย ได้มีการศึกษานำร่อง โดยทีมวิจัย รศ.ดร.ภก.ศุภกิจ วงศ์วิวัฒนนุกิจ ในกลุ่มคนที่ติดบุหรี่ ที่สถาบันธัญญาลักษณ์ จังหวัดปทุมธานี ภายในการสนับสนุนจากเครือข่ายวิชาชีพเภสัชกรรมเพื่อการควบคุมการบริโภคยาสูบ และ สสส. พบว่าสามารถช่วยจำนวนคนสูบบุหรี่ได้ดี
จากงานวิจัยการนำสมุนไพรหญ้าดอกขาวเพื่อช่วยเลิกบุหรี่ในจังหวัดเชียงใหม่ โดย ดร.ดลรวี ลีลารุ่งระยับ และคณะ ภาควิชากายภาพบำบัด คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภายใต้การสนับสนุนทุนจาก ศจย. และ สสส. เมื่อปี พ.ศ. 2551 พบว่าสมุนไพรหญ้าดอกขาวในรูปแบบเคี่ยวและใช้ในลักษณะอมแล้วดื่มก่อนการสูบบุหรี่ทุกคร้ง ซึ่งมีฤทธิ์ที่เด่นชัดคือ หลังการอมแล้วจะทำให้รสชาติของบุหรี่เปลี่ยนไปทันทีหลังการใช้ครั้งแรกและคร้งต่อๆ ไป ทำให้ไม่อยากสูบบุหรี่ในที่สุดและลดจำนวนมวนในการสูบบุหรี่ต่อวันได้อย่างรวดเร็วภายใน 1-2 อาทิตย์ ไม่ว่าจะสูบหนักหรือเบามาก่อนก็ตาม
จากงานวิจัยพบว่าหากใช้ติดต่อกันนาน 2 เดือน สามารถช่วยลดอัตราการสูบบุหรี่ได้ถึง 60% และหากใช้ร่วมกับการออกกำลังกาย จะสามารถช่วยลดอัตราการสูบบุหรี่ลงถึง 62% และที่สำคัญช่วยทำให้คนเลิกบุหรี่ได้ถึง 60-70% หากใช้ร่วมกับการออกกำลังกาย ผลประโยชน์ที่ได้จากการใช้สมุนไพรหญ้าดอกขาวในรูปแบบเคี่ยว นอกเหนือจากจะทำให้เลิกบุหรี่แล้ว ยังมีสมรรถภาพทางกายที่ดีขึ้น เลือดจะมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น ทำให้ปริมาณก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์ที่คั่งค้างในปอดลดลงอย่างเห็นได้ชัด และที่สำคัญมีผลข้างเคียงในการเลิกบุหรี่ เช่น กระวนกระวาย สมาธิแปรปรวนหรือหงุดหงิดน้อยมาก
      และในปัจจุบันทีมงานวิจัยได้มีการศึกษาเพิ่มเติมในด้านสารออกฤทธิ์สำคัญที่ช่วยเสริมคุณประโยชน์ของสมุนไพรหญ้าดอกขาวในรูปแบบการเคี่ยว โดยทุนวิจัยจาก ศจย. และ สสส. ในระหว่างปี พ.ศ. 2552-2553 พบว่าในแต่ละส่วนของหญ้าดอกขาวมีสารสำคัญที่แตกต่างกัน โดยที่โดดเด่นคือ ใบ จะมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระโดยรวม (total antixidant capacity) ที่สูงที่สุด โดยมีสารประเภทฟีนอลิก (total phenolics) และสารกลุ่ม Catechin, Flavonoid, Isoflavone เมื่อเปรียบเทียบกับดอก และก้าน นอกจากนี้แล้วสิ่งที่สำคัญที่อาจเป็นคำตอบของสมุนไพรหญ้าดอกขาวในการช่วยเลิกบุหรี่คือ ในสารสกัดหยาบจากใบและดอกที่ได้จากการเคี่ยวมีสารสำคัญคือ นิโคติน (nicotine) ในปริมาณต่ำ
ดังนั้นในกลุ่มคนที่สูบบุหรี่ที่ค่อยๆ เลิกบุหรี่ได้ โดยไม่มีอาการข้างเคียงนั้น อาจเป็นผลมาจากมีการทดแทนของสารนิโคตินในกระแสเลือดไม่ให้ขาดหายไปทันที แต่อย่างไรก็ตามการเลิกบุหรี่ที่ดีที่สุด นอกจากกการใชสมุนไพรหญ้าดอกขาวและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยหันไปออกกำลังกายแล้ว ร่วมกับความตั้งใจเพื่อตนเองหรือบุคคลที่คุณรักจะช่วยเสริมทำให้เลิกบุหรี่ได้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
วิธีการเตรียมสมุนไพรและการใช้เพื่อเลิกบุหรี่:
วิธีที่ 1. เคี่ยว วิธีที่ 2. ชาชง ความปลอดภัย
  จากโครงการวิจัยเรื่องศึกษาความปลอดภัยของสารสกัดหญ้าดอกขาวและผลต่อระบบประสาทสัตว์ทดลองเพื่อการเลิกบุหรี่ โดย ดร.ชุลีรัตน์ บรรจงลิขิตกุลและคณะ ภายใต้การสนับสนุนทุนจาก ศจย. และ สสส.ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความปลอดภัยของสารสกัดหญ้าดอกขาวส่วนต่าง ๆ  ในวิธีสกัดที่ต่างกันอย่างน้อยจำนวน 5 ตัวอย่างและศึกษาผลต่อระบบประสาทหนูขาว ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเลิกบุหรี่ในสัตว์ทดลอง ผลการศึกษาความเป็นพิษเบื้องต้นของสารสกัดหญ้าดอกขาว (น้ำเคี่ยว) ส่วนต่าง ๆ ได้แก่ ดอก ก้าน ใบและผสม  (ดอก+ก้าน+ใบ)
ในสัตว์ทดลองพบว่ามีความปลอดภัยค่อนข้างสูงจากการกินและการซึมผ่านทางผิวหนัง ไม่มีผลต่อการก่อความระคายเคืองผิวหนัง ดังนั้นผลิตภัณฑ์ช่วยการอดบุหรี่จากน้ำเคี่ยวหญ้าดอกขาวส่วน ดอก ก้าน ใบ หรือส่วนผสม สรุปได้ว่ามีความปลอดภัยสูงทั้งจากการกินและการดูดซึมทางผิวหนัง

ยาสมุนสรรพคุณไพรเเก้ปวดฟัน


ยาสมุนสรรพคุณไพรเเก้ปวดฟัน
 
ฟันนี้เป็นอะไรที่จะว่าปวดนะครับปวดไปถึงหัวเลยผมเคยเป็นฟันผุนะครับ เจ็บนิดๆ ตอนนั้นกินข้าวอย่างดุดันมากเจ็บก็นิดหน่อยเเต่พอมันไปโดนจุดที่ปวดเนี่ยนะพี่น้องปากค้างน้ำตาใหลเลยหละครับ
ถ้าคุณเบื่อการกินยาแก้ปวด และไม่อยากไปหาหมอฟันแล้วละก็ ชีวจิตมีวิธีแนะนำให้คุณเป็นหมอรักษาตัวเองด้วยวิธีง่าย ๆ
อะไรทำให้ปวดฟัน
อาการปวดฟัน (toothache) ส่วนใหญ่มีผลมาจากฟันผุ ซึ่งในระยะเริ่มแรกจะมีลักษณะเสียวฟัน ก่อนที่อาการปวดจะลามไปที่บริเวณใต้คางและศีรษะต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกินของเย็น ของร้อน หรือของหวาน เพราะจะเป็นการกระตุ้นให้แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในช่องปาก ปล่อยกรดออกมาทำลายเคลือบฟัน และชอนไชเข้าไปจนถึงเนื้อเยื่อส่วนที่นิ่มภายใน ซึ่งมีเส้นเลือดฝอยจำนวนมาก บวกกับในโพรงประสาทฟันมีเนื้อที่จำกัด จึงทำให้เกิดการอักเสบและบวม
เมื่อเกิดอาการบวมจะทำให้เส้นประสาทถูกกด รวมทั้งเกิดการปิดกั้นช่องทางเปิดปลายรากฟัน ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก จึงไม่สามารถนำออกซิเจนมาเลี้ยงฟันได้ จนทำให้เกิดอาการปวดฟันที่รุนแรง
และในที่สุดเนื้อฟันก็จะตาย เมื่อถึงตอนนั้นอาการปวดจะหายไป อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นหนองบริเวณปลายรากฟันอาการปวดอาจกลับมาอีก แต่ลักษณะการปวดจะเป็นแบบตื้อ ๆ และสามารถระบุตำแหน่งได้ชัดเจนขึ้น
นอกจากนี้อาการปวดฟันอาจเกิดจากวัสดุอุดฟันหลุดไป ฟันร้าวหรือแตกจนถึงชั้นเนื้อฟันและโพรงประสาทฟัน การนอนกัดฟัน (bruxism) ปวดเนื่องจากมีฟันคุดและเหงือกอักเสบ (gingivitis) ซึ่งจะทำให้เหงือกร่นและรากฟันบางส่วนโผล่ขึ้นมาส่งผลให้เกิดอาการเสียวฟันและปวดฟันได้ แต่บางคนที่มีสุขภาพฟันดีก็อาจมีความไวมากเป็นพิเศษต่อของร้อนหรือของเย็นได้
วิธีลดอาการปวดฟัน
ถ้าคุณอยากหายทรมานจากอาการปวดฟันแล้วละก็ ลองปฏิบัติตามคำแนะนำง่าย ๆ ต่อไปนี้ดูสิ
1.เมื่อมีอาการปวดฟัน ให้ประคบด้านข้างของใบหน้าซีกที่ปวดฟันด้วยน้ำอุ่น
2.ในกรณีที่อาการปวดฟันมีลักษณะปวดตุบ ๆ ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อ ให้ประคบที่ด้านข้างของใบหน้าด้วยน้ำแข็งประมาณ 5-10 นาที ทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง ความเย็นจะช่วยลดปวดและลดบวม
3.ถ้ามีอาการเสียวฟันง่าย ให้ใช้โซดาไฟหรือแปรงฟันด้วยยาสีฟันสูตรสำหรับแก้เสียวฟัน
4.เมื่อต้องอยู่ในที่ที่อากาศเย็นหรือในช่วงฤดูหนาว สามารถป้องกันอาการเสียวฟัน หรืออาการปวดฟันจากอากาศเย็นได้โดยปิดปากด้วยผ้าพันคอ
5.เลี่ยงอาหารที่ร้อนจัด เย็นจัด และหวานจัด โดยเฉพาะชา กาแฟ และไอศกรีม เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้มีอาการงดอาหารที่แข็งจนต้องใช้วิธีกัดกิน เช่น แครอท แอปเปิ้ล ฝรั่งที่ยังไม่สุก เพราะการขบกัดฟันแรง ๆ กับวัตถุแข็ง ๆ จะกระตุ้นให้เกิดอาการปวดฟัน และในกรณีที่อุดฟันควรหลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่ง เพราะจะทำให้สารที่อุดฟันไว้หลุดออกมาง่ายขึ้น
นวดกดจุดลดอาการปวด
หลายคนคงค้นเคยกับการนวดกดจุดตามร่างกาย ทั้งฝ่าเท้า ฝ่ามือ และศีรษะดีแล้วใช่ไหมคะ คราวนี้เราลองมานวดกดจุดเพื่อบรรเทาอาการปวดฟันกันดีกว่า
1.นวดคลึงเบา ๆ ที่แก้มเหนือบริเวณฟันที่ปวด จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ชั่วคราว
2.ใช้น้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ กดและถูบริเวณง่ามมือ ระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ หรือใช้มืออีกข้างนวดบริเวณเดียวกันนี้ จะช่วยลดอาการปวดฟันได้ชั่วคราว
3.สำหรับคนที่ปวดบริเวณกรามล่าง ให้ใช้นิ้วหัวแม่มือนวดบริเวณกระดูกขากรรไกรที่รองรับฟันล่าง ส่วนคนที่ปวดบริเวณกรามบนให้วางนิ้วหัวแม่มือ ตรงบริเวณส่วนกลางของหู แล้วลากนิ้วไปทางด้านหน้า จนกระทั่งถึงรอยบุ๋มใต้กระดูกประมาณหนึ่งนิ้วบริเวณหน้าใบหู จากนั้นกดแรง ๆ ประมาณ 10 นาที
สมุนไพรบรรเทาปวด
บางคนพึ่งยาสารพัดชนิด ทั้งกินทั้งทา แต่พอหมดฤทธิ์ยาแล้ว อาการปวดฟันก็กลับมาสำแดงเดชอีกครั้ง ลองมาสอบอาการปวดด้วยฤทธิ์ยาทางธรรมชาติของสมุนไพรเหล่านี้ดีกว่า
ว่านหางจระเข้ มีสรรพคุณในการทำลายเชื้อโรคและสลายพิษ (neutralization) ของเชื้อโรค โดยหั่นว่านหางจระเข้เป็นชิ้น ๆ ความยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร ล้างยางออกให้หมด เหน็บไว้ที่ซอกฟัน ใช้ฟันขบให้อยู่บริเวณที่ปวดหรือใช้ไม้พันสำลีจุ่มน้ำวุ้นว่านหางจระเข้ ป้ายตรงบริเวณที่ปวด จะช่วยบรรเทาอาการได้ชั่วคราว
 น้ำมันละหุ่ง ทาน้ำมันละหุ่งบริเวณแก้มข้างที่ปวดฟัน และใช้พลาสเตอร์ยาปิดไว้ แล้วใช้ผ้าขนหนูอุ่น ๆ หรือแผ่นประคบบริเวณที่มีอาการปวด จากนั้น นอนพักอย่างน้อย 20 นาที น้ำมันละหุ่งมีสรรพคุณในการระงับปวดได้ดี โดยจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดที่ไปคั่งอยู่กับเชื้อจุลินทรีย์ในกรณีที่เกิดการติดเชื้อหรือกับสารที่ทำให้เกิดอาการปวด เช่นไซโทไคเนส (cytokines) ในกรณีที่ปวดรากฟัน
น้ำมันกานพลู มีสรรพคุณในการรักษาอาการปวดฟันได้ดีที่สุดชนิดหนึ่ง บางครั้งหมอฟันจะใช้น้ำมันกานพลูแทนยาที่มีฤทธิ์แรงกว่า เช่น Novocain โดยทาน้ำมันกานพลูบริเวณที่ปวดในช่องปากได้โดยตรง (หากน้ำมันกานพลูเข้มข้นเกินไปอาจทำให้เจือจางด้วยการผสมน้ำมันมะกอก) นอกจากนี้อาจใช้วิธีอมกานพลูทั้งชิ้นไว้ในปากบริเวณที่ปวดก็ได้ จะทำให้รู้สึกชาอย่างรวดเร็ว และอยู่นานกว่า 90 นาที หรือนำดอกกานพลูมาทุบแช่น้ำเหล้าขาว แล้วชุบสำลีอุดฟันซี่ที่ปวด
น้ำมันกระเทียม ใช้สำลีชุบน้ำมันกระเทียมทาบริเวณที่ปวดฟัน จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้เหมือนกัน
ดาวเรือง ใช้ดอกแห้งประมาณ 7-8 ดอก ต้มกับน้ำสะอาดในปริมาณที่พอเหมาะ ดื่มเป็นน้ำสมุนไพรทั้งวันเพื่อแก้อาการปวดฟัน
ผักบุ้งนา นำรากสดของผักบุ้งนาประมาณ 10 กรัม ตำให้ละเอียดแล้วคั้นเอาแต่น้ำ ผสมกับน้ำส้มสายชู อมไว้ประมาณ 5 นาที แล้วบ้วนออกด้วยน้ำสะอาด
มะระ นำรากสดของมะระมาตำพอแหลก แล้วพอกฟันซี่ที่ปวด โดยใช้ลิ้นกดไว้สักครู่ใหญ่ ๆ
กุยช่าย ในกรณีที่ปวดฟันเพราะแมงกินฟัน ให้นำเมล็ดกุยช่ายมาคั่วให้เกรียมดำ จากนั้นนำมาบดให้ละเอียดละลายน้ำมันยางแล้วชุบสำลี ยัดในฟันที่เป็นรูโพรง ทิ้งไว้หนึ่งคืน จะสามารถฆ่าตัวแมงที่กินฟันได้
ถ้าไม่อยากไปหาหมอ คุณก็ต้องชิงเป็นหมอของตัวเอง ก่อนที่อาการปวดจะลุกลามเกินเยียวยาจนถึงขั้นต้องถอนฟันทิ้ง
Tip
1.เมื่อใช้ยาสมุนไพรจนอาการปวดฟันบรรเทาแล้ว ควรไปพบทันตแพทย์
2.ไม่ควรใช้ยาแอสไพรินบดอุดบริเวณฟันที่ปวด เพราะจะทำให้เกิดแผลไหม้ที่เหงือก และเป็นอันตรายต่อเคลือบฟันได้
3.ถ้ามีอาการปวดบวมเมื่อเคี้ยวอาหาร หรือเหงือกแดงผิดปกติ มีเลือดออก แสดงว่าติดเชื้อ หรือถ้าปวดฟันและมีไข้ร่วมด้วย ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
โดย kapook.com

สมุนไพรสรรพคุณเเก้ปวดประจำเดือน


สมุนไพรสรรพคุณเเก้ปวดประจำเดือน
 
สุขสดใส แม้ถึงวันนั้นของผู้หญิง (Lisa)
ผู้หญิงเกือบทุกคนจะมีอาการทุกข์ทรมานมากบ้าง น้อยบ้างก่อนรอบเดือนจะมา และระหว่างวันที่รอบเดือนมา วิธีการผ่อนคลายอาการปวดประจำเดือนของผู้หญิงแต่ละคนก็แตกต่างกันไป ซึ่งเรามีวิธีการดูแลสุขภาพและรักษาตนเองได้หลายวิธีด้วยกัน เพื่อผ่อนคลายอาการเจ็บปวดดังกล่าว
สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน
สมุนไพรช่วยรักษาอาการปวดท้องน้อย มีสมุนไพรไทยหลายชนิดที่ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องในช่วงมีรอบเดือน (จากมูลนิธิสุขภาพไทย)
ขนานที่ 1 ใช้ใบข่อย 1 กำมือ ต้มกับน้ำ 2-3 ถ้วย ใส่ข้าวเปลือกลงไป 1 หยิบมือ ต้มให้เดือดนาน 1/2-1 ชั่วโมง ดื่มครั้งละ 1/2-1 แก้ว ตอนที่ปวดประจำเดือน หรือใช้ใบข่อยตากแห้ง แล้วคั่วให้หอม 1 หยิบมือ ชงกับน้ำร้อนกินต่างน้ำเป็นประจำ
ขนานที่ 2 ใช้เถาคันแดง 1-2 กำมือ ใส่น้ำให้ท่วมยา ต้มให้เดือด 5-10 นาที ดื่มวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 แก้วก่อนอาหาร เป็นประจำทุกวัน
สมุนไพรจีนสูตรโบราณ  ที่ช่วยบรรเทาอาการปวดรอบเดือนมีหลายขนาน อาทิ
เอี๊ยะบ่อเช่า  เป็นพืชผักสมุนไพรชนิดหนึ่ง (หาซื้อได้ตามย่านตลาดคนจีนหรือตามโรงเจ) เมื่อเกิดอาการปวดท้องประจำเดือน ให้รับประทานสมุนไพรเอี๊ยะบ่อเช่า  โดยการนำมาทอดกับไข่เป็ดเปลือกเขียว
เจงจูไฉ่  เป็นสมุนไพรจีนอีกชนิดหนึ่งซึ่งหาซื้อได้ตามย่านตลาดคนจีนหรือนำมาเพาะปลูกเอง เหมาะกับสตรีที่มีประจำเดือนไม่สม่ำเสมอและเลือดลมไม่ดี ควรรับประทานเจงจูไฉ่เป็นประจำ โดยการนำมาทำแกงจืดเป็นการบำรุงโลหิตและทำให้ประจำเดือนมาตรงกำหนด
สมุนไพรรักษาอาการปวดมดลูก  ใช้หัวว่านชักมดลูก  ฝานเป็นแว่นบางๆ 7-10 แว่น ใส่น้ำ 2-3 แก้ว ต้มให้ยาเดือนนาน 10 นาที ดื่มวันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 1 แก้วก่อนอาหาร (จากมูลนิธิสุขภาพไทย) หรือลงแช่น้ำในอ่างที่มีน้ำอุ่นๆ  10 นาที และใส่แยร์โร (Yarrow-ไม้ชนิดหนึ่ง ใบเป็นฝอย ดอกสีขาว มีกลิ่นฉุน ใช้ทำสลัด) ลงไปในอ่างน้ำ ( 10 กรัมต่อน้ำ 2 ลิตร) หากปวดท้องไม่มากแต่รู้สึกหงุดหงิดก็ให้ใช้ เมลิซสา (Melissa) หรือดอกเก๊กฮวย เพราะสมุนไพรสองชนิดนี้ผ่อนคลายร่างกายและจิตใจได้
กลิ่นบำบัด
การบำบัดด้วยกลิ่นอะโรมา นับเป็นวิถีการบำบัดเบอร์หนึ่งก็ว่าได้ในการรักษาอาการปวดท้องและปวดท้องน้อย ด้วยการนำเมล็ดลูกพลับหรือเมล็ดข้าวต่างๆ ไปอุ่นในเตาไมโครเวฟแล้วใส่ลงในขวดนำมานาบท้อง หรือถ้าหากต้องการให้ได้ผลดียิ่งขึ้นให้คุณผสมน้ำมันหอมระเหยกลิ่นต่างๆ ดังนี้น้ำมันดอกกุหลาบและน้ำมันไซเพรสอย่างละ 20 หยด มุสเคต (Muscate-ไวน์ชนิดหนึ่ง) และน้ำมันออริกาโนอย่างละ 10 หยด และน้ำมันเกรฟฟรุต 40 หยดแล้วผสมเข้าด้วยกัน ใช้หยดลงบนหมอนเล็กน้อยจะช่วยให้อาการดีขึ้น
อาหารเบาๆ
พลังจากวิตามิน  การรับประทานอาหารผิดๆ ทำให้ปวดประจำเดือนได้ มีการศึกษาค้นคว้ามากมายซึ่งได้ผลมาว่า อาหารที่มีวิตามินและแคลเซียมจากผักและผลไม้สด น้ำมันมะกอก ผลิตภัณฑ์อาหารจำพวกธัญพืชไม่ขัดสี และนมสามารถบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือนได้ สิ่งที่ควรทานให้น้อยก็คืออาหารจำพวกไขมัน โปรตีนจากสัตว์ ควรหลีกเลี่ยง เนื้อสัตว์ ไส้กรอก เนยแข็ง เนยเหลว และผลิตภัณฑ์จำพวกข้าวขัดขาว นอกจากนี้คุณยังควรงดเครื่องดื่ม ประเภทกาเฟอีนและแอลกอฮอล์
โปรแกรมผ่อนคลายสำหรับจิตใจ
การผ่อนคลาย  คุณคงไม่เชื่อว่ารอบเดือนก็มีสิ่งดีๆ ให้กับคุณ เพราะว่าประจำเดือนเป็นตัวบ่งบอกสัญญาณหลายอย่าง ในแง่ที่ว่าร่างกายจะเกิดความเครียดเมื่อเราใช้งานหนักเกินไป การเจ็บปวดจะเป็นการบังคับเราให้ฟังเสียงความต้องการของร่างกายบ้าง และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหมายถึงการทำงานที่หนักที่สุดสำหรับร่างกายของเรา
ที่มา kapook